วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ธุรกิจร้านกาแฟ

หากเอ่ยถึง "ธุรกิจกาแฟ" คาดว่าเป็นธุรกิจของมนุษย์เงินเดือนอย่างเรานั้น มีความต้องการเปิดร้านมากที่สุด เนื่องจากเป็นการลงทุนที่สามารถควบคุมได้ ทั้งต้นทุน-กำไรและงบดุลที่คาดว่าจะขึ้นลงตามฤดูกาล ดังนั้นการเปิดจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่ต้องการเป็นเจ้าของร้านเอง
ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่งมีเรื่องราวอยู่ว่า "สวัสดีครับทีมงานนิตยสาร SME สร้างอาชีพ ผมเป็นพนักงานประจำบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ผมเก็บหอมรอมริบมาได้ตอนนี้มีงบการลงทุนอยู่ประมาณ 300,000 บาท อยากเปิดร้านกาแฟแบบมืออาชีพเลยเขียนจดหมายเข้ามาขอข้อมูลกับทางทีมงานช่วยหาข้อมูลให้ด้วยครับ"
ผมขอขอบคุณสำหรับจดหมายที่คุณนโรดมเขียนเข้ามาและติดตามนิตยสาร SME สร้างอาชีพมาโดยตลอด ซึ่งผมคิดว่าอากาศช่วงนี้เป็นใจสำหรับการเปิดร้านกาแฟมากๆ ไม่ว่าลูกค้าจะติดฝนอยู่ที่ใดร้านกาแฟเป็นหนึ่งในอีกกว่าหลายร้อยร้านที่จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างแน่นอน ส่วนวิธีการเปิดร้านนั้นก็ไม่ยากเลยครับ ผมมีขั้นตอนเด็ดๆ ทริคมันส์ๆ มาให้ได้สัมผัสกรุ่นกลิ่นกาแฟก่อนเปิดร้านกันเลยทีเดียว
ประเทศไทยมีผลผลิตกาแฟประมาณ 80,000 - 100,000 ตัน/ปี* สัดส่วนการบริโภคภายในประเทศประมาณ 30,000 ตัน และอีก 70,000 ตันส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศ โดยมีตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, สเปน, เยอรมัน, อิตาลี, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น ฯลฯ (*ที่มา : กรมการค้าต่างประเทศ ตัวเลขการส่งออกกาแฟตั้งแต่เดือนมกราคม - ตุลาคม 2555) โดยปัจจุบันกาแฟถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดอุตสาหกรรมหลักและมีการซื้อขาย (Trade) กาแฟในอีกหลากหลายรูปแบบ (Commodity) เป็นอันดับสองรองจากปิโตรเลียม (Petroleum)
ชี้จุดยืนด้วยการเริ่มต้นวางแผนธุรกิจกาแฟ
ธุรกิจร้านกาแฟ มีอัตราการเติบโตรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุหลักๆ อาจสืบเนื่องมาจากธุรกิจร้านกาแฟรายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้ สภาพดังกล่าวสร้างความคึกคักและตื่นตัวให้กับวงการธุรกิจกาแฟเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน กระแสความนิยมการดื่มกาแฟของคนไทยก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมคนไทยนิยมดื่มกาแฟสำเร็จรูปกันเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันคนไทยได้หันมานิยมเข้าร้านกาแฟสดคั่วบดที่มีการตกแต่งร้านให้หรูหราทันสมัย สะดวกสบาย มีบรรยากาศที่รื่นรมย์สำหรับการดื่มกาแฟมากขึ้น เฉลี่ย 200 แก้ว/คน/ปี (ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทยปี 2555)
มองการณ์ไกลในอนาคตของตลาดกาแฟ
ดังนั้นจึงวิเคราะห์ได้ว่าอัตราการดื่มกาแฟของคนไทยในอนาคตยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เหตุนี้ทำให้นักลงทุนจำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจร้านกาแฟ สภาพการแข่งขันในตลาดโดยรวมจึงดูเหมือนจะรุนแรง แต่เนื่องจากร้านกาแฟส่วนใหญ่ที่มีในปัจจุบัน มักเน้นการขายสินค้าและบริการเสริมอื่นๆ เช่น ขนมเค้ก คุกกี้ แซนด์วิช บางแห่งมีบริการอินเตอร์เน็ตให้กับลูกค้าด้วย เมื่อแต่ละร้านมีจุดขายที่เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค แตกต่างกันไป ประกอบกับคอกาแฟในตลาดยังมีหลายกลุ่ม การแข่งขันในตลาดจึงยังไม่รุนแรงหรือชัดเจนเท่าใดนัก แต่อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในอนาคตมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น
ทริคสำคัญของการเริ่มต้นธุรกิจร้านกาแฟ
ทั้งนี้ก่อนเริ่มทำธุรกิจผู้ประกอบการควรเลือก "ทำเล" ที่ตั้งให้เหมาะสม ศึกษาว่ากลุ่มลูกค้ามีพฤติกรรมชอบดื่มกาแฟมากน้อยแค่ไหน คู่แข่งเยอะไหม จุดไหนที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกดื่มกาแฟของร้าน หรืออะไรที่ทำให้ธุรกิจแตกต่างไปจากร้านอื่นๆ ผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเข้ามาลงทุน ควรสร้างความแตกต่างไปจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด ทั้งรูปแบบการตกแต่งร้านกาแฟและรสชาติของสินค้า สิ่งเหล่านี้ผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจเปิดธุรกิจร้านกาแฟ
มองกลุ่มเป้าหมายให้เฉียบ
ร้านกาแฟในปัจจุบัน มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ได้แก่ นักธุรกิจ นักศึกษา คนทำงาน และนักท่องเที่ยว มุ่งไปที่การขายกาแฟเป็นหลัก หรือบางร้านกาแฟบางแห่งก็มีชื่อเสียงในเรื่องขนม ของว่าง เช่น เค้ก คุกกี้ ไอศกรีม สลัด แซนด์วิช ที่นำมาขายเป็นธุรกิจเสริมร่วมกับกาแฟ ฉะนั้นผู้ลงทุนที่สนใจหรือตัดสินใจในการลงทุนร้านกาแฟ จึงอาจหาสินค้าเสริมเข้ามาขายร่วมกับกาแฟ เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น
การตลาด 4p เอามาใช้เพื่อเปิดมุมมอง
เมื่อวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายแล้วว่ากลุ่มเปาหมายเป็นกลุ่มใด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงลำดับต่อมา ดังนี้
ด้านผลิตภัณฑ์ ผู้ลงทุนควรใส่ใจตั้งแต่เรื่องการผลิตจะต้องคิดค้นพัฒนาสูตรเครื่องดื่มกาแฟให้มีหลากหลายรสชาติและกลิ่นหอม สะอาดปลอดภัย ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคได้ สิ่งสำคัญต่อมาคือ บรรจุภัณฑ์ ที่สวยงาม โดดเด่น และแตกต่างไปจากสินค้าที่มีในตลาด เพื่อสร้างบรรยากาศของการดื่มกาแฟให้ได้รสชาติยิ่งขึ้น
ช่องทางการจัดจำหน่าย ร้านกาแฟสดส่วนใหญ่จะมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่มุ่งไปตามย่านธุรกิจแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่ต่างๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต สถาบันการศึกษา ใกล้โรงภาพยนตร์ ปั๊มน้ำมัน เป็นต้น
ราคา เครื่องดื่มกาแฟตามร้านกาแฟสดทั่วไป มีระดับราคาตั้งแต่ 35 บาท ไปจนถึง 100 กว่าบาท ส่วนใหญ่การตั้งราคาพิจารณาจากต้นทุนวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิตดังนั้นราคาเครื่องดื่มที่ผลิตขึ้นจึงแตกต่างกันไปตามต้นทุนวัตถุดิบที่นำมาใช้บวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆในการดำเนินงานโดยการกำหนดราคาผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับคุณภาพและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
การส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่ธุรกิจร้านกาแฟจะเน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และแผ่นพับ หรือ Direct Mail เพราะสื่อเหล่านี้นำเสนอให้เห็นภาพลักษณ์ของสินค้าที่ดีชื่อสินค้าและตราสินค้า เพื่อให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้เร็วด้วยต้นทุนที่ต่ำ การประชาสัมพันธ์ที่ดีอีกวิธีคือ การสร้างมาตรฐานของร้านให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค จนนำไปบอกกล่าวกันแบบปากต่อปาก วิธีนี้ได้ผลดีมากสำหรับธุรกิจร้านกาแฟ
รูปแบบการลงทุนร้านกาแฟ
ธุรกิจร้านกาแฟมีลักษณะการลงทุนใน 3 รูปแบบหลักๆ ดังนี้
ร้านสแตนอะโลน (Stand - Alone) เป็นอาคารอิสระหรือห้องเช่าที่มีพื้นที่ประมาณ 50 ต.ร.ม. ขึ้นไป ร้าน Stand - Alone อาจตั้งอยู่ตามย่านชุมชน ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน หรือพลาซ่าใหญ่ๆ
คอร์เนอร์ (Corner/Kiosk) ร้านกาแฟขนาดกลาง ใช้พื้นที่ประมาณ 6 ต.ร.ม.ขึ้นไป ลักษณะเป็นมุมกาแฟภายในอาคาร ศูนย์การค้า หรือพลาซ่า ร้านกาแฟประเภทนี้อาจจัดให้มีที่นั่ง จำนวนเล็กน้อย
รถเข็น (Cart) ร้านกาแฟขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ประมาณ 3 ต.ร.ม. สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก หาทำเลที่ตั้งได้ง่าย ทำให้เข้าถึงตลาดได้ทุกระดับ
งบประมาณการลงทุนที่กำหนดเองได้
ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเปิดร้านกาแฟในรูปแบบ Stand Alone จะใช้เงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ 300,000 ถึง 1,500,000 บาท ซึ่งโครงสร้างต้นทุนของร้านกาแฟรูปแบบนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะที่ใกล้เคียงกัน คือ
1. ลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ประมาณ 90% ได้แก่ ค่าก่อสร้างออกแบบและตกแต่งสถานที่ ค่าวางระบบต่างๆ (ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ระบบเก็บเงิน) ค่าอุปกรณ์
2. เงินทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ 10% ได้แก่ ค่าวัตถุดิบสินค้า ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าพื้นที่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ส่วนในการเปิดร้านรูปแบบอื่นๆ ก็จะราคาต่ำลงได้อีกหากผู้ลงทุนมีการวางแผนการตลาดที่ดี
*** โครงสร้างการลงทุนข้างต้น ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ ณ เดือนมิถุนายน 2556
4 ทริคการสร้างแบรนด์สำหรับร้านกาแฟ
การสร้างแบรนด์ตราสินค้า คือ การสร้างความแตกต่างของตัวสินค้าในที่นี้คือกาแฟและร้านกาแฟ ให้เกิดขึ้นในจิตใจของลูกค้า หมายถึงว่าถ้าลูกค้าคิดถึงร้านกาแฟที่ตัวเองชอบก็จะนึกร้านของคุณขึ้นมาทันที โดยมีทริควิธีการตั้งชื่อร้านง่ายๆ คือ ชื่อร้าน การตั้งชื่อร้านที่ดี นั้นคือต้องง่ายต่อการจดจำ การสร้างเรื่องราว ให้คนสนใจและจดจำ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ ต้องพิจารณาว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายหรือเปล่า และ ตัวอักษรโลโก้ ตราสินค้า จะใช้ตัวอักษรแบบไหนที่ลูกค้าเห็นและจำได้ทัน โดยหลักการถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ให้เป็นตัวพิมพ์ใหญ่จะจดจำง่ายกว่าตัวพิมพ์เล็ก และที่สำคัญคือเรื่องของสี คนส่วนใหญ่จะนึกถึงกาแฟก็จะนึกถึงสีน้ำตาล น้ำตาลอ่อนและน้ำตาลเข้ม เป็นต้น
 สายพันธุ์กาแฟ
กาแฟมีสายพันธุ์หลักๆ 2 พันธุ์ คือ
กาแฟพันธุ์อราบิก้า (Arabica) ปลูกที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 3,000 ฟุต ให้ผลผลิตสม่ำเสมอ รสหอมกลมกล่อม ในเมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิก้ามีปริมาณคาเฟอีนน้อยกว่าพันธุ์โรบัสต้า ประมาณ 1 เท่า ผลผลิตของกาแฟทั่วโลกเป็นกาแฟพันธุ์อราบิก้า 75%
กาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta) ปลูกในพื้นที่สูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มากนัก ส่วนใหญ่ปลูกในประเทศแถบร้อนชื้น มีรสชาติเข้มข้น หอมฉุนกว่ากาแฟพันธุ์อราบิก้า มีสัดส่วนของผลผลิตกาแฟทั่วโลก 25%
 วิธีการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟ
ก่อนซื้อควรจะต้องดู วันเดือนปีผลิตและวันหมดอายุ ปกติกาแฟเมื่อเก็บในถุงฟอยด์ ที่วางขายจะมีอายุในช่วง สูงสุด 6 - 12 เดือน ขึ้นกับชนิดของถุงที่บรรจุ เพราะคุณภาพจะลดลงตามการเวลา โดย กาแฟจะหอมที่สุดเมื่อคั่วได้ 5 วัน และจะค่อยลดระดับลงเรื่อยๆ เวลาเลือกซื้อ อย่าลืม ดูถุงที่ใหม่ ได้กาแฟหอมกรุ่นกว่า
ควรเลือกถุงขนาดเล็ก ส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วง 200-250 กรัม และควรใช้ให้หมดใน 1 สัปดาห์เมื่อเปิดถุงแล้วถุงกาแฟที่ระบุว่า Single Origin พร้อมชื่อเมืองต่างๆ แสดงว่าเป็นอราบิก้าของที่นั้น มีเทคนิคการคั่วที่ดี และเป็นรสชาติพิเศษของที่นั้น เช่น Omkoi Estate หากข้างซองระบุว่า Espresso คือเมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วใน ระดับเข้ม หรือ Dark Roast ส่วนซองที่ระบุว่า Medium Roast คือ เมล็ดกาแฟที่คั่วระดับกลาง ดื่มได้เรื่อยๆ เหมาะสำหรับเสิร์ฟในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าผู้ดื่มชอบรสแบบไหนควรซื้อกาแฟในซองระบายอากาศ Freshness wolves เพราะว่าเมล็ดกาแฟจะคายอากาศและความชื้นตลอดเวลา หากการระบายอากาศไม่ได้จะเสียคุณภาพเร็วยิ่งขึ้น และมีผลให้กาแฟมีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์เก็บเมล็ดกาแฟให้พ้นแสงแดดการเก็บควรที่จะเก็บในขวดสุญญากาศ อย่าเก็บเม็ดในตู้เย็นเพราะว่าเมื่อออกจากตู้เจออากาศร้อนเมล็ดกาแฟจะชื้น ทำให้ติดกับเครื่องบดและมีกลิ่นจากตู้เย็นมาติดด้วย
การเลือกซื้ออุปกรณ์เข้าร้านกาแฟ
หลายต่อหลายคนหมดค่าใช้จ่ายไปกับการซื้อเครื่องชงกาแฟหลายแสน เปิดได้สักปีก็ปิดกิจการขายเครื่องคืนเหลือไม่กี่บาท หรือขายไม่ได้ การเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟและอุปกรณ์กาแฟนั้นเป็นสิ่งถูกต้องที่สุดว่า เครื่องชงราคาแพงจะได้คุณภาพน้ำกาแฟที่ดีด้วย แต่ถ้าซื้อเครื่องขนาดสองแสนกว่าบาทมาชงขายแก้วละ 20 - 35 บาท ปกติราคานี้หักค่าวัตถุดิบ ไม่รวมค่าเช่า ค่าพนักงาน จะมีกำไรประมาณ 10 กว่าบาท เอาไปหารค่าเครื่องเอาว่าเมื่อไหร่จะคืนทุน ดังนั้นวิธีการเลือกเครื่องชงกาแฟที่ดีที่สุดเลือกให้เหมาะกับขนาดธุรกิจและกลุ่มลูกค้า เช่น ถ้าจะขายสัก 30 - 35 บาท ก็เครื่องชงสัก 5 หมื่นก็ได้ ถ้าจะขายสัก 40 - 50 บาทขึ้นไปก็สามารถใช้เครื่องเป็นแสนได้เลย เพราะอย่างน้อยคุณคงมีเงินค่าแต่งร้านอีกหลายแสนอยู่
 ประเภทของกาแฟที่ควรมีในร้าน
เอสเพรสโซ คือ กาแฟที่ถูกเตรียมด้วยเครื่องเอสเปรสโซ แมชีน และใช้กาแฟคั่วระดับที่เข้มบดละเอียดให้รสชาติเข้มข้น นิยมใช้กาแฟอราบิก้า จะเสริฟในถ้วยขนาดเล็กไม่เกิน 1.5 ออนซ์ ซึ่งกาแฟเอสเปรสโซ่จะเป็นตัวเบสพื้นฐานในการชงกาแฟอื่นๆ
กาแฟอเมริกันโน่ คือ กาแฟ เอสเพรสโซ + น้ำร้อน
กาแฟลาเต้ คือ กาแฟเอสเพรสเข้มข้นประมาณ 1.5 ออนซ์ + นมร้อน ประมาณ 6 ออนซ์และแต่งด้วยฟองนมเล็กน้อย ด้านบน รสชาติจะหอมละมุ่นด้วยกลิ่นนมและกาแฟ
กาแฟคาปุชิโน่ คือ กาแฟเอสเพรสโซ + นมร้อน 1 ส่วน และฟองนม 1 ส่วน และนิยมโรยหน้าด้วยผงซินนาม่อนหรือผงช็อกโกแลต
กาแฟมอคค่า คือ เอสเพรสโซ่ น้ำเชื่อมช็อคโกแลต นมร้อน และปิดหน้าด้วย วิปปิ้งครีม แต่งหน้าด้วยผงช็อคโกแลต
กาแฟเฟรนเพรส คือ การชงกาแฟด้วยแก้ว French Press เวลา ดื่มจะต้องกดก้านกรองของแก้วลงก้านตะแกรงกรองจะแยกชั้นระหว่างน้ำกาแฟและผง กาแฟ ซึ่งวิธีการชงแบบนี้จะพบได้ตามร้านอาหาร โฮมเมท ตามสุขุมวิทหรือสีลม
วิธีการบริหารร้านเบื้องต้นสำหรับมือใหม่หัดขาย
สิ่งสำคัญที่เป็นองค์ประกอบหลักในการทำธุรกิจคือ เจ้าของร้าน โดยเฉพาะถ้าเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่เจ้าของเป็นผู้บริหารเอง ทั้งนี้ ขอกล่าวในลักษณะที่ เจ้าของบริหารเอง หากเป็นเจ้าของจ้างคนอื่นมาบริหารหรือจ้างผู้จัดการร้าน และไม่เอาใจใส่ บอกได้เลย เตรียมตัวให้ดีกับปัญหาที่ตามมา นอกจากนี้เจ้าของร้านเองจะต้องมีความสุขกับการค้าขาย มีความมุ่งมั่นเป็นแรงบันดาลใจอย่างยิ่งใหญ่ในการที่จะทำธุรกิจ มีความพร้อมและความอดทนที่จะเป็นนายคนอื่น มีทุนทรัพย์ (เงินลงทุน) ที่เพียงพอต่อการทำธุรกิจ
What's happen?
1. สำรวจความพร้อมของตนเองพร้อมหรือยัง?
2. มีเงินออมมากพอไหม และที่สำคัญมีเวลาให้กับธุรกิจกาแฟที่คุณรักหรือยัง?
3. หาข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจกาแฟและร้านกาแฟแล้วหรือยัง?
4. มองหาทำเลทองสำหรับเปิดร้านกาแฟได้หรือยัง?
หากพร้อมแล้วเตรียมตัวสตาร์ท...การเปิดร้านกาแฟธุรกิจไม่มีวันตายกันได้เลยครับ

ขอบคุณข้อมูลจากhttp://money.sanook.com/170944/

การวางแผนธุรกิจร้านกาแฟ

การวางแผนธุรกิจร้านกาแฟ


ในช่วงระยะเวลา 3– 4 ปี ที่ผ่านมานี้ ธุรกิจร้านกาแฟ มีอัตราการเติบโตรวดเร็วอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุหลัก ๆ อาจสืบเนื่องมาจากธุรกิจร้านกาแฟรายใหญ่จากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้ สภาพดังกล่าวสร้างความคึกคักและตื่นตัวให้กับวงการธุรกิจกาแฟเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน กระแสความนิยมการดื่มกาแฟของคนไทยก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมคนไทยนิยมดื่มกาแฟสำเร็จรูปกันเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบัน คนไทยได้หันมานิยมเข้าร้านกาแฟสดคั่วบด ที่มีการตกแต่งร้านให้หรูหราทันสมัย สะดวกสบาย มีบรรยากาศที่รื่นรมย์สำหรับการดื่มกาแฟมากขึ้น
ทั้งนี้จากผลการสำรวจพฤติกรรมการดื่มกาแฟของคนไทยในปี พ.ศ. 2543 โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยพบว่า คนไทยยังมีอัตราการดื่มกาแฟต่อคนต่ำมาก เฉลี่ย 200 แก้ว/คน/ปี เมื่อเทียบกับคนในแถบเอเชีย เช่น ชาวญี่ปุ่น ดื่มกาแฟเฉลี่ย 500 แก้ว/คน/ปี ในขณะที่ชาวอเมริกาดื่มกาแฟเฉลี่ย 700 แก้ว/คน/ปี ดังนั้น การดื่มกาแฟของคนไทยในอนาคตจึงยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น เหตุนี้ทำให้นักลงทุนจำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนใน ธุรกิจร้านกาแฟ สภาพการแข่งขันในตลาดโดยรวมจึงดูเหมือนจะรุนแรง แต่เนื่องจากร้านกาแฟส่วนใหญ่ที่มีในปัจจุบัน มักเน้นการขายสินค้าและบริการเสริมอื่นๆ เช่น ขนมเค้ก คุกกี้ แซนด์วิช บางแห่งมีบริการอินเตอร์เน็ตให้กับลูกค้าด้วย เมื่อแต่ละร้านมีจุดขายที่เป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค แตกต่างกันไป ประกอบกับคอกาแฟในตลาดยังมีหลายกลุ่ม การแข่งขันในตลาดจึง ยังไม่รุนแรง หรือชัดเจนเท่าใดนัก แต่อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในอนาคตมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ ก่อนเริ่มทำธุรกิจผู้ประกอบการควรเลือกทำเลที่ตั้งให้เหมาะสม โดยศึกษาว่าบริเวณทำเลที่เลือกนั้น กลุ่มลูกค้ามีพฤติกรรมชอบดื่มกาแฟมากน้อยแค่ไหน และในละแวกนั้นมีคู่แข่งไหม จุดไหนที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกดื่มกาแฟของร้าน หรืออะไรที่ทำให้ธุรกิจแตกต่างไปจากร้านอื่นๆ ผู้ประกอบการรายย่อยที่ต้องการเข้ามาลงทุน ควรสร้างความแตกต่างไปจากผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด ทั้งรูปแบบการตกแต่งร้านกาแฟและรสชาติของสินค้า สิ่งเหล่านี้ผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจเปิดธุรกิจร้านกาแฟ

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายธุรกิจหลักและธุรกิจรอง

กลุ่มเป้าหมาย (ตัวอย่างเช่น)
ร้านกาแฟในปัจจุบัน มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลัก ๆ ได้แก่ นักธุรกิจ นักศึกษา คนทำงาน และนักท่องเที่ยว
ธุรกิจหลักและธุรกิจเสริม
ร้านกาแฟบางร้าน จะมุ่งไปที่การขายกาแฟเป็นหลัก หรือบางร้านกาแฟบางแห่งก็มีชื่อเสียงในเรื่องขนม ของว่าง เช่นเค้ก คุกกี้ ไอศกรีม สลัด แซนด์วิช ที่นำมาขายเป็นธุรกิจเสริมร่วมกับกาแฟ ฉะนั้น ผู้ประกอบการที่สนใจหรือตัดสินใจในการลงทุนร้านกาแฟ จึงอาจหาสินค้าเสริมเข้ามาขายร่วมกับกาแฟ เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าให้เพิ่มมากขึ้น

ส่วนผสมทางการตลาด 4p

  • ผู้ที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟ มักให้ความสำคัญกับรสชาติ ความหอม และบรรยากาศของการดื่มกาแฟ
  • ผู้ประกอบการร้านกาแฟจึงต้องให้ความสำคัญกับด้านต่างๆ ดังนี้

ด้านผลิตภัณฑ์

กาแฟสดแตกต่างจากกาแฟสำเร็จรูป ในเรื่องของรสชาติที่กลมกล่อม และกลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้น่าดื่มมากกว่า คอกาแฟส่วนใหญ่มีรสนิยมการดื่มกาแฟที่ต่างกัน บางคนชอบดื่มกาแฟที่มีรสชาติเข้มข้น บางคนชอบดื่ม กาแฟที่ออกรสเปรี้ยวเล็กน้อย ดังนั้น ในด้านผลิตภัณฑ์ ผู้ลงทุนควรใส่ใจเรื่องดังต่อไปนี้
ผลิตจะต้องคิดค้นพัฒนาสูตรเครื่องดื่มกาแฟให้มีหลากหลายรสชาติและกลิ่นหอม ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค รวมทั้งผลิตภัณฑ์ต้องผ่านกระบวนการผลิตที่สะอาดปลอดภัย สร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคได้ ในภาวะที่ผู้บริโภคมีทางเลือกหลากหลาย สิ่งสำคัญที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการรายใหม่ติดตลาดหรือได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค คือการพัฒนารูปแบบบรรจุภัณฑ์ให้สวยงาม โดดเด่น และแตกต่างไปจากสินค้าที่มีในตลาด เพื่อสร้าง บรรยากาศของการดื่มกาแฟให้ได้รสชาติยิ่งขึ้น
สถานที่สำหรับประกอบธุรกิจร้านกาแฟมีความสำคัญมาก นอกจากการเลือกทำเลที่ดี การสัญจรสะดวก มีที่จอดรถ แล้วภายในบริเวณร้านจะต้องจัดแต่งให้สวยงาม ทั้งนี้ เนื่องจากรูปแบบการบริโภคกาแฟของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากอดีตร้านกาแฟมักเป็นร้านขนาดเล็กหรือรถเข็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นชาวจีน มาในปัจจุบันคนไทยหันมานิยมดื่มกาแฟสดคั่วบดในร้านกาแฟที่มีบรรยายกาศและการตกแต่งร้านที่ทันสมัย หรือที่เรียกกันว่าร้านกาแฟ พรีเมี่ยม (Premium) รูปแบบของร้านกาแฟในปัจจุบัน จึงถูกจัดตกแต่งให้ดูทันสมัย มีความโดดเด่นในเรื่องความสะอาด สะดวกสบายและบรรยากาศผ่อนคลาย เหมาะจะเข้าไปนั่งพักนั่งคุย ทั้งนี้เพราะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของร้านกาแฟส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจ นักศึกษา วัยรุ่นและนักท่องเที่ยว รูปแบบการจัดแต่งร้านกาแฟพรีเมี่ยม จะคล้ายกับร้านฟาสท์ฟู้ดทั่วไปคือเน้นการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยในร้านให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การจัดวางอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ภายในร้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเพื่อง่ายต่อการใช้สอย หากพื้นที่ภายในร้านค่อนข้างจำกัดผู้ลงทุนอาจทำชั้นวางของรอบด้านเพื่อเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นระเบียบ นอกจากนี้ผู้ลงทุนยังต้องจัดการฝึกอบรมพนักงานให้มีระเบียบจนเป็นนิสัย ไม่เช่นนั้นแล้ว การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยที่ดีก็จะกลับมายุ่งเหยิงอีกครั้ง
การลดขั้นตอนต่างๆ ของหน้าร้านให้สั้นที่สุด ทั้งด้านการผลิต การรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าและการชำระเงิน การลดขั้นตอนนี้นอกจากจะเป็นการจัดสรรพื้นที่ให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานแก่พนักงานแล้ว ยังทำให้ลูกค้าได้รับการบริการที่สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

ช่องทางการจัดจำหน่าย

ร้านกาแฟสดส่วนใหญ่จะมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่มุ่งไปตามย่านธุรกิจแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่ต่างๆ ดังนี้
  • ห้างสรรพสินค้า
  • ซุปเปอร์มาร์ เก็ตใหญ่ ๆ
  • ใกล้สถาบันการศึกษา
  • ใกล้โรงภาพยนต์
  • ปั๊มน้ำมัน

ราคา

เครื่องดื่มกาแฟตามร้านกาแฟสดทั่วไป มีระดับราคาตั้งแต่ 20 บาท ไปจนถึง 100 กว่าบาท ส่วนใหญ่การตั้งราคาพิจารณาจากต้นทุนวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการผลิต กาแฟพันธุ์อาราบิก้าจะมีราคาประมาณกิโลกรัมละ 100 –120 บาท สูงกว่าพันธุ์โรบัสตาประมาณ 3–4 เท่า ส่วนราคาของกาแฟคั่วเสร็จจะสูงกว่ากาแฟดิบมาก มีตั้งแต่ราคา 300 -400 บาท ไปจนถึง 700 บาทขึ้นไป กาแฟจึงมีคุณภาพ รสชาติ และกลิ่นหอมที่แตกต่างกันไป สำหรับกาแฟที่นำเข้าจากต่างประเทศราคาจะสูงขึ้นไปอีก สาเหตุหลักเพราะผู้นำเข้าต้องเสียภาษีสูงถึง 95 %
ดังนั้นราคาเครื่องดื่มที่ผลิตขึ้นจึงแตกต่างกันไปตามต้นทุนวัตถุดิบที่นำมาใช้บวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการดำเนินงานโดยการกำหนดราคา ผู้ประกอบการจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับคุณภาพและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

การส่งเสริมการขาย

ธุรกิจร้านกาแฟอาจใช้วิธีการส่งเสริมการขายมีดังต่อไปนี้
  • ส่วนใหญ่ธุรกิจร้านกาแฟจะเน้นการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และแผ่นพับ หรือ Direct Mail เพราะสื่อเหล่านี้นำเสนอให้เห็นภาพลักษณ์ของสินค้าที่ดีชื่อสินค้าและตราสินค้า เพื่อให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้เร็วด้วยต้นทุนที่ต่ำ ขณะที่การส่งเสริมการขายด้วยรูปแบบการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์นั้นน้อยมากเนื่องจากใช้ต้นทุนสูง
  • การประชาสัมพันธ์ที่ดีอีกวิธีคือ การสร้างมาตรฐานของร้านให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค จนนำไปบอกกล่าวกันแบบปากต่อปาก วิธีนี้ได้ผลดีมากสำหรับธุรกิจร้านกาแฟ
ผู้ประกอบการอาจส่งเสริมการขายด้วยรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดโปรโมชั่นแลกซื้อของที่ระลึก หรือในช่วงเทศกาลสำคัญๆ ก็อาจจะนำกาแฟบางรายการมาลดราคา เพื่อให้ผู้บริโภคหันมาดื่มกาแฟกันมากขึ้น หรือผู้ ประกอบการอาจจัดกิจกรรมร่วมสนุกเพื่อดึงผู้บริโภคเข้าร้านบ่อยครั้งมากขึ้น

การบริหาร

ร้านกาแฟเป็นธุรกิจที่จะต้องพัฒนาสินค้าและรักษามาตรฐานการบริการอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นธุรกิจร้านกาแฟจึงต้องมีระบบการบริหารจัดการที่ดีทั้งในด้านบุคลากร ระบบการขายและการบริการ ระบบคลังสินค้า การตลาดที่มีประสิทธิภาพ ไม่เช่นนั้นแล้ว ย่อมส่งผลให้ต้นทุนของธุรกิจสูงขึ้นตามไปด้วย ผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ ส่วนใหญ่จะนำเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ IT เข้ามาใช้ควบคุมดูแลส่วนงานต่างๆ ด้วย

การตลาด

ข้อมูลทั้งหมดที่ ได้จากระบบสนับสนุน จะถูกนำมาใช้ในการวางแผนการตลาด การจัดทำแผนส่งเสริมการขายต่างๆ เพื่อรักษาลูกค้าไว้ สำหรับร้านกาแฟขนาดเล็ก ที่ไม่ได้นำระบบ IT เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการร้าน ก็สามารถนำเอาหลักการบริหารดังกล่าวไปปรับใช้ เพียงแต่ผู้ลงทุนจะต้องคอยควบคุมตรวจสอบให้รัดกุม การบริหารจัดการจึงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากการบริหารงานในส่วนต่างๆ ดังกล่าวแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับการบริหารบุคลากร ทั้งเรื่องการฝึกอบรม เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องกาแฟแก่พนักงาน กระทั่งพนักงานสามารถตอบคำถามของลูกค้าและให้การบริการที่ดีแก่ลูกค้าได้ รวมไปถึงการให้สวัสดิการ การให้ผลตอบแทนที่ยุติธรรมต่อพนักงาน และการให้โอกาสพนักงานทุกคนปฏิบัติงานอย่างเท่าเทียมกัน

การลงทุน

ธุรกิจร้านกาแฟมีลักษณะการลงทุนใน 3 รูปแบบหลักๆ ดังนี้
ร้าน (Stand - Alone) เป็นอาคารอิสระหรือห้องเช่าที่มีพื้นที่ประมาณ 50 ต.ร.ม. ขึ้นไป ร้าน Stand - Alone อาจตั้งอยู่ตามย่านชุมชน ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน หรือพลาซ่าใหญ่ ๆ
คอร์เนอร์ (Corner/Kiosk) ร้านกาแฟขนาดกลาง ใช้พื้นที่ประมาณ 6 ต.ร.ม.ขึ้นไป ลักษณะเป็นมุมกาแฟภายในอาคาร ศูนย์การค้า หรือพลาซ่า ร้านกาแฟประเภทนี้อาจจัดให้มีที่นั่ง จำนวนเล็กน้อย
รถเข็น (Cart) ร้านกาแฟขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ประมาณ 3 ต.ร.ม. สามารถเคลื่อนย้ายได้สะดวก หาทำเลที่ตั้งได้ง่าย ทำให้เข้าถึงตลาดได้ทุกระดับ เงินลงทุนและต้นทุนค่าใช้จ่ายของ การทำร้านกาแฟจะแตกต่างไปตามขนาดและรูปแบบของการลงทุนดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ดังนี้

โครงสร้างการลงทุน

ร้านกาแฟในรูปแบบ Stand Alone จะใช้เงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ 800,000 ถึง 1,500,000 บาท ซึ่งโครงสร้างต้นทุนของร้านกาแฟรูปแบบนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะที่ใกล้เคียงกันคือ
1. ลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ประมาณ 90% ได้แก่
  • ค่าก่อสร้างออกแบบและตกแต่งสถานที่
  • ค่าวางระบบต่าง ๆ (ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ระบบเก็บเงิน)
  • ค่าอุปกรณ์
2. เงินทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเริ่มต้นประมาณ 10% ได้แก่
  • ค่าวัตถุดิบสินค้า
  • ค่าบรรจุภัณฑ์
  • ค่าจ้างพนักงาน
  • ค่าเช่าพื้นที่
  • ค่าน้ำ ค่าไฟ
  • ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
*** โครงสร้างการลงทุนข้างต้น ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ4ราย ช่วงเดือนกรกฎาคม 2545
การลงทุนดังกล่าวเป็น เพียงตัวอย่างให้ผู้ประกอบการที่สนใจได้เห็นรูปแบบการลงทุนของร้านกาแฟแบบStand Aloneคร่าว ๆ หากผู้ประกอบการบางรายมีความพร้อมด้านสินทรัพย์ถาวรบางรายการหรือคาดว่าจะ สามารถสร้างรายได้เข้ามาได้ทันกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นผู้ประกอบการก็ สามารถปรับลดสัดส่วนของสินทรัพย์ถาวรหรือเงินทุนหมุนเวียนที่จะนำมาเป็นค่า ใช้จ่ายเริ่มต้นลงได้ฉะนั้นสัดส่วนโครงสร้างการลงทุนจึงขึ้นอยู่กับความ เหมาะสมในธุรกิจของผู้ประกอบการเองด้วย
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจากhttps://happyespresso.net/2015/11/16/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1-17-%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2/.   http://www.vppcoffee.com/knowledge/coffee-business-plan/

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ข้อดีข้อเสียของ Social Media

ข้อดีและข้อเสียของ Social Media

1.  Twitter
ข้อดีของการเล่น twitter
1. ทวิตเตอร์สามารถแชร์ข้อมูลข่าวสาร รูปภาพได้รวดเร็ว เพียงแค่ทวิตข้อความ Follower ของคุณก็จะทราบทันที
2. ผู้ใช้สามารถอัพเดตเหตุการณ์ที่กำลังเป็นประเด็นที่ชาวทวิตเตอร์กำลังพูดถึงได้โดยดูจากTrending เช่น การติดแท็กไว้อาลัยให้เนลสัน แมนเดลล่า โดยใช้แท็ก #RIPNelson Mandela และยังมีอีกแท็กศิลปินเกาหลีสุดฮอทของวันนี้คือ #SuperJuniorTheLastManStanding
3. สามารถแบ่งปันทวิตที่เราชอบและข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ได้โดยการรีทวิต
4. ทวิตเตอร์เป็นพื้นที่ที่แสดงความเป็นตัวเอง โดยจะทวิตบ่นหรือแชร์เรื่องราวอะไรก็ได้
5. การอ่านข่าวในทวิตเตอร์จะสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่และยังได้รับรู้ความคิดเห็นของผู้ที่ใช้ทวิตเตอร์คนอื่นๆ
   ข้อเสีย คือ
1. เนื่องจากข่าวสารในทวิตเตอร์นั้นแพร่กระจายไปได้รวดเร็วมากเพียงแค่กดรีทวิต ดังนั้นหากทวิตแล้วข้อมูลตกหล่นหรือผิดพลาด จะไม่สามารถแก้ไขได้
2. ทวิตเตอร์สามารถทวิตข้อความได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษรจึงต้องทวิตให้สั้น แต่บางครั้งการทวิตสั้นๆอาจจะสื่อความหมายได้ไม่ดีพอทำให้เกิดการเข้าใจผิดและรับสารได้ไม่ตรงกับที่ผู้ส่งสารต้องการจะสื่อ
3. การรีทวิตข่าวสารที่ไม่มีที่มาหรือไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้
4. หากทวิตข้อความหรือรีทวิตมากเกินไป อาจทำให้ฟอลโลเวอร์รำคาญได้
5.ต้องใช้อินเทอร์เน็ต

2.Instagram
   ข้อดีของการเล่นอินสตาแกรม
   1.  อัพโหลดรูปภาพได้ไม่จำกัด
   2.   มีระบบ Followers และ Following เลือกติดตามบุคคลที่ต้องการได้    
   3. สามารถ Comment และกด Like รูปภาพที่ชื่นชอบได้        
   4.ระบุตำแหน่งที่ถ่ายภาพและแสดงบนแผนที่ (Photo Maps      
   5.Instagram เป็นแอพพลิเคชั่นฟรี 100%
     ข้อเสีย
1.ไม่สามารถส่งข้อความ รูป หรือวิดีโอหาคนที่ไม่ได้ใช้ Instagram ด้วยกันได้
2.ไม่มีลูกเล่นการทำวิดีโอ เช่น ทำ stop motion เหมือน Vine
3.รูปจะต้องถูก crop ให้เป็นสีเหลี่ยมจตุรัส
4.ถึงแม้จะคุยแบบกลุ่มได้ แต่การคุยแบบกลุ่มถูกจำกัดไว้ที่ 15 คนเท่านั้น
5.ต้องมีอินเทอร์เน๊ต

3. Youtube   
    ข้อดีของการเล่น youtube
    1.UI เจ๋ง
    2. ดู home feed หรือ stream for any channel
    3.สามารถหมวดหมู่ได้
    4. comments ได้
    5. มี suggested/related videos

  ข้อเสีย
   1.อัพโหลดวีดีโอไม่ได้
   2.log in หลายๆ accounts ไม่ได้
   3.ให้ rate comments ไม่ได้ (thumbs up/down)
   4.เจาะจงตอบ comments ไม่ได้
   5.ไม่ใช่แอพ universal


  4. Facebook
     ข้อดีของการเล่น facebook
       1.FaceBook จะเป็นการสร้างเครือข่ายและจุดประกายด้านการศึกษาได้อย่างกว้างขวาง หากใช้ได้อย่างถูกวิธี
       2.ทำให้ไม่ตกข่าว คือทราบความคืบหน้า เหตุการณ์ของบุคคลต่างๆและผู้ที่ใกล้ชิด
       3.ผู้ใช้สามารถสร้างเครือข่ายทางสังคม แฟนคลับหรือผู้ที่มีเป้าหมายเหมือนกัน และทำงานให้สำเร็จลุล่วงไปได้
       4.สามารถสร้างมิตรแท้ หรือเพื่อนที่รู้ใจที่แท้จริงได้
       5.FaceBook เป็นซอฟแวร์ที่เอื้อต่อผู้ที่มีปัญหาในการปรับตัวทางสังคม ขาดเพื่อน อยู่โดดเดี่ยว หรือผู้ที่ไม่สามารถออกจากบ้านได้ ให้มีเครือข่ายทางสังคม และเติมเต็มชีวิตทางสังคมได้อย่างดี ไม่เหงาและปรับตัวได้ง่ายขึ้น
          
       ข้อเสีย
       1.FaceBook เป็นการขยายเครือข่ายทางสังคมในโลกอินเตอร์เนต ดังนั้นการมีเพิ่มเพื่อนเครือข่ายที่ไม่รู้จักดีพอ จะทำให้เกิดการลักลอบขโมยข้อมูล หรือการแฝงตัวของขบวนการหลอกลวงต่างๆได้
       2.เพื่อนทุกคนในเครือข่ายสามารถเขียนข้อความต่างๆลง Wall ของ FaceBook ได้แต่หากเป็นข้อความที่เป็นความลับ การใส่ร้ายกัน หรือแฝงไว้ด้วยการยั่วยุต่างๆ จะทำให้ผู้อ่านที่ไม่มีวุฒิภาวะพอ หลงเชื่อ เกิดความขัดแย้ง และปัญหาตามมาในภายหลังได้  
       3.Facebook อาจเป็นช่องทางในการสร้างสังคมแห่งการนินทา หรือการยุ่งเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะสังคมที่ชอบสอดรู้สอดเห็น
       4.การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดให้กับบุคคลภายนอกที่ไม่รู้จักดีพอ เช่นการลงรูปภาพของครอบครัวหรือลูก อาจนำมาเรื่องปัญหาการปลอมตัว หรือการหลอกลวงอื่นๆที่คาดไม่ถึงได้
5.Line

ข้อดี

  • ใช้ได้กับ Mobile , Tablet และเครื่อง PC
  • มีสติกเกอร์ และ การ์ตูนอีโมชั่น แสดงอารมณ์ต่างๆมากมายหลายแบบ ทั้ง กวนๆ น่ารักๆ เศร้า เสียใจ ดีใจ และคำทักทายต่างๆ
  • Add Friend ได้หลายวิธี เช่น เพิ่มจากรายชื่อ QR Code การ Shake เป็นต้น
  • สามารถส่งข้อความ การสร้างกรุ๊ป Chat และการแชร์ภาพ วิดีโอ เสียง ระหว่างการสนทนา
  • สามารถ Voice Call ใช้แทนโทรศัพท์ได้ ทั้งในและต่างประเทศโดยไม่เสียเงิน
  • การพูดคุยเป็นกลุ่ม หากมีคนอ่านข้อความ จะขึ้นว่า Read แล้วกี่คน จะทำให้คาดเดาหรือประเมินได้ว่ามีใครอ่านหรือไม่อ่านได้ จะได้เอามาเป็นข้ออ้างในการไม่รับรู้ข้อมูลข่าวสารไม่ได้

ข้อด้อย

  • การแจ้งเตือนไม่สม่ำเสมอ
  • ไม่สามารถลบข้อความที่ส่งไปแล้วได้
  • ลูกเล่นเยอะทำให้เปลืองแบตเตอรี่
เครดิต http://hbotannoiija.blogspot.com/. http://www.dealwithnodeal.net/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%A2-line.html

รีวิวHK2000 9mm

รีวิวปืน HK P2000 9mm

         สมมุติกล่าวขวัญปืนโครงโพลิเม่อร์กระบอกแรกที่ผลิตขึ้นมา ฉันเชื่อว่าหลายๆคนจะคิดถึง Glock เพราะความที่ปืนยี่ห้อนี้เป็น “ผู้จุดกระแสปืนโครงโพลิเม่อร์ให้ได้รับคอกันไปทั่วโลก”  เฉพาะจริงๆแล้วบริษัทแรกที่ผลิตปืนโครงโพลิเม่อร์ขึ้นมาในโลกของอาวุธปืนคือ เอช.เค โดยผลิตรุ่น VP 70 ขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1970 ก็แค่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก  จนภายหลังก็เลิกผลิตไป กับหลังจากนั้นมา HK ก็ดูเหมือนจะเหินห่างจากปืนโครงโพลิเม่อร์ไปพักใหญ่ๆ จนมาเอาดีกับ HK USP ซึ่งผลิตขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1993   ซึ่งก็ได้รับความนิยมสนิทพอมีค่า  แต่ก็ยังมีผู้ติว่าโครงสร้างของ USP ดูเทอะทะไป แม้จะเป็น USP COMPACT ก็ตาม หุ่นและการออกแบบก็เป็นเหลี่ยมมุมมากเกินไปจนดูกระด้างไปสำหรับคอปืนบางคน 

       จนกระทั่งมาถึงปี ค.ศ.2001 HK ก็สร้างความฮือฮาด้วยการส่งปืน HK P2000 ลงสู่ตลาด ซึ่งปืนรุ่นนี้เป็นการออกแบบบนพื้นฐานของปืน USP COMPACT และปรับปรุงรูปทรงเสียใหม่ ให้เพรียวและทันสมัยกว่าเดิม  พร้อมความสมบูรณ์แบบของระบบลั่นไกที่มีให้เลือกใช้หลากหลาย ทำให้ P2000 ได้รับการตอบรับอย่างดีในตลาดปืนและผู้ใช้ปืนทั่วโลก รวมถึงบ้านเราที่ P2000  กลายเป็นปืนที่มีผู้ต้องการมากที่สุดรุ่นหนึ่งไปแทบจะในทันทีที่มีการนำเข้ามา
HK P2000 เป็นปืนที่เหมือนกับเป็นภาคต่อของ USP ทำให้ได้รับอิทธิพลมาจาก USP พอสมควร ไม่ว่าจะเป็นรูปทรงของสไลด์ รวมไปถึงบางส่วนของโครงปืน แต่ได้รับการลบเหลี่ยมมุมต่างๆให้เพรียวมากขึ้น เหมาะแก่การพกพาและสามารถชักออกมาจากซองได้โดยไม่มีส่วนเกี่ยวติดกับเสื้อผ้า
 ด้านข้างสไลด์ส่วนบนปาดสอบขึ้นด้านบน ต่างจาก USP ที่เป็นเหลี่ยมสัน ด้านท้ายของสไลด์ทำร่องกันลื่นไว้กว้าง ช่วยให้จับขึ้นลำได้ถนัดมือและรวดเร็ว ด้านหน้าและท้ายของสไลด์จะปาดมุมทั้งสองด้านตามสไตล์ของปืนพกชั้นดี  ขอรั้งปลอกมีขนาดใหญ่และแข็งแรง พร้อมแต้มจุดสีแดงไว้ให้เห็นเมื่อมีกระสุนบรรจุอยู่  ช่องคายปลอกผายออกค่อนข้างกว้าง ทำให้การคายปลอกเปล่าเป็นไปได้อย่างสะดวกไม่ชนกับช่องคายปลอก แล้วเปลี่ยนทิศทางเข้าหาผู้ยิงเหมือนที่พบในปืนบางกระบอก  ศูนย์ปืนของ P2000 มีทั้งแบบแต้มจุดขาวธรรมดาและแบบศูนย์เรืองแสง  สำหรับกระบอกที่ทดสอบติดตั้งศูนย์เรืองแสงมาให้จากโรงงาน ซึ่งให้ความสว่างของจุดเรืองแสงค่อนข้างชัดมากเมื่อต้องยิงในสภาพแสงน้อย

       โครงปืนของ P2000 เป็นโพลิเม่อร์ที่ฉีดขึ้นรูปที่ HK ระบุไว้ว่า  มีการเสริมเส้นใยไฟเบอร์เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและยังทนต่อการกัดกร่อนของสารเคมีและน้ำยาล้างปืนต่างๆได้ดี  โครงด้ามได้รับการออกแบบให้จับถือได้ถนัดมือกว่า USP  มีการทำเว้าส่วนของโครงด้ามให้สามารถกำปืนได้สูง  ซึ่งมีผลอย่างมากต่อการควบคุมปืนในขณะยิง  โครงปืนส่วนหน้าจะมีร่องสำหรับใส่อุปกรณ์เสริม เช่นพวกศูนย์เลเซอร์-ศูนย์ไฟฉาย  โกร่งไกได้รับอิทธิพลไปจาก USP ค่อนข้างชัดเจน ภายในโกร่งไกจะมีทริกเกอร์ การ์ด เป็นสันยกขึ้นมา โกร่งไกกว้างเผื่อสำหรับเจ้าหน้าที่สวมถุงมือยิง สันด้ามหลังสามารถถอดเปลี่ยนได้ให้เหมาะกับขนาดมือของผู้ยิงแต่ละคน มีแถมมาให้ 3 ขนาด  ถอดเปลี่ยนได้ง่ายด้วยการถอดสลักด้านล่างออก  ปุ่มปลดแม็กกาซีนมี 2 ด้าน เป็นแบบเดียวกับของ USP  มีขนาดกะทัดรัด แต่ก็ทำให้ปลดแม็กกาซีนออกได้ยากเหมือนกัน หากทำให้ขนาดยาวกว่านี้น่าจะเหมาะกับการใช้งานมากกว่า  เพราะจากการยิงที่ต้องมีการเปลี่ยนแม็กกาซีนในขณะยิง  จะเสียเวลาในการขยับมือเพื่อหามุมในการปลดแม็กฯ  จุดนี้น่าจะเป็นจุดเดียวที่ผมไม่ชอบเลยสำหรับ P2000 คันค้างสไลด์มี 2 ด้าน เช่นเดียวกับปุ่มปลดแม็กฯ มีขนาดค่อนข้างยาว  เจตนาคงจะให้มาอยู่ใกล้กับหัวแม่มือในขณะกำปืน  รูปทรงของคันค้างสไลด์ค่อนข้างจะเป็นแบบเรียบไปกับโครงปืน แต่ก็ใช้งานได้สะดวกและเหมาะสม
       HK P2000 ใช้ระบบหน่วงเวลาขัดกลอนแบบ เบราว์นิ่ง-แพ็ทเตอร์/ซิก โดยใช้บ่าด้านบนของรังเพลิงขัดกลอนกับช่องคายปลอก และใช้ทางลาดใต้รังเพลิงในการดึงท้ายลำกล้องให้ยุบตัวลง ซึ่งระบบขัดกลอนแบบนี้มีข้อดีคือ ทำให้สามารถออกแบบวางแนวลำกล้องให้ต่ำและอยู่ใกล้มือที่กำปืนได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับระบบขัดกลอนแบบอื่นๆ  และยังใช้ชิ้นส่วนน้อยชิ้นกว่า รวมถึงความทนทานที่มีมากกว่า


             ชุดลั่นไกของ P2000  จริงๆแล้ว HK P2000 มีชุดลั่นไกในแบบ LEM (Low Enforcement Modification ) ซึ่งถูกนำมาใช้ครั้งแรกกับ HK USP Compact ที่จำหน่ายในประเทศสหรัฐอเมริกา แต่สำหรับกระบอกนี้จะเป็นนกสับในแบบ DA/SA ดับเบิ้ล-แอ็คชั่น/ซิงเกิ้ล-แอ็คชั่น คือสามารถเหนี่ยวไกยิงได้ในระบบดับเบิ้ลเหนี่ยวไกยาวจนนกสับในนัดแรก และยิงในระบบซิงเกิ้ลในนัดต่อๆไป   การยิงในระบบดับเบิ้ลค่อนข้างจะตื้อและมีสะดุดในบางช่วงของทางเดินไก น้ำหนักไกในแบบดับเบิ้ลจะอยู่ที่ประมาณ 11-12 ปอนด์ สำหรับในการยิงแบบดับเบิ้ลแอ็คชั่น มีทางเดินไกที่ลื่นพอสมควร น้ำหนักไกซิงเกิ้ลอยู่ที่ประมาณ 4-5 ปอนด์ ซึ่งก็พอใช้ได้ในปืนขั้นต่อสู้

เครดิต https://my.dek-d.com/bopieryvb/blog/?blog_id=10192062